รายงานของกรมสุขภาพจิตเมื่อ พ.ศ.2561 ระบุว่า ความเครียด 3 อันดับแรกในกลุ่มคนวัยทำงานของไทย ได้แก่ 1. ความเครียดจากเศรษฐกิจ 30.8% 2. ความเครียดจากภาวะสังคม 20.3% และ 3. ความเครียดจากปัญหาครอบครัว 14.5% นอกจากนี้ ยังพบว่ามีความเครียดจากการเสพข่าวมากเกินไป และความเครียดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุุคคลอยู่ที่ประมาณ 13.2%
และเนื่องจากสุขภาพจิตของพนักงานมีผลต่อเสถียรภาพขององค์กร ทั้งยังเป็นภาระงานหนึ่งของฝ่าย HR ที่ต้องส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคลากรและองค์กรอยู่เสมอ ล่าสุดทีมงานจึงติดต่อ คุณปุญญพัฒน์ เศรษฐ์สมบูรณ์ Head of Technology, Telemedica Co., Ltd. บริษัทผู้ให้บริการแอปพลิเคชันอูก้า (ooca) แพลตฟอร์มที่ให้บริการคำปรึกษาด้านสุขภาพจิต โดยจิตแพทย์ และนักจิตวิทยามืออาชีพ ซึ่งให้บริการทั้งบุคคลทั่วไป และองค์กรธุรกิจมาอย่างยาวนาน เพื่อพูดคุยในประเด็นปัญหาสุขภาพจิต ว่าสามารถส่งผลกระทบต่อองค์กรอย่างไรบ้าง และ HR Tech จะมีบทบาทช่วยเหลือได้อย่างไร
เทเลเมดิก้า ผู้นำแพลตฟอร์มที่ช่วยพัฒนาสุขภาพจิตคนไทย
บริษัท เทเลเมดิก้า จำกัด จดทะเบียนบริษัทเมื่อ พ.ศ. 2559 ถือเป็นผู้พัฒนาแพลตฟอร์มบริการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย ชื่อว่า ‘ooca’ รูปแบบคล้ายกับการเดินเข้าไปโรงพยาบาล แล้วแจ้งความประสงค์ว่าต้องการปรึกษาเรื่องอะไร แล้วเราก็จะได้พบกับแพทย์เรื่องนั้น ๆ เพียงแต่ ooca ย้ายมาอยู่ในรูปแบบออนไลน์ และผู้เข้ารับคำปรึกษาสามารถเลือกผู้ให้คำปรึกษาได้ว่าต้องการจิตแพทย์คนไหน นักจิตวิทยาคนใด และเลือกราคาค่าบริการที่เหมาะสมกับตัวเองได้
“เป้าหมายตั้งแต่แรกเลย เราอยากจะช่วยพัฒนาสุขภาพจิตของคนไทยในรูปแบบ app Mental Health Medicine ครับ ให้บริการทั้งรูปแบบขององค์กร(B2B) และประชาชนทั่วไป(B2C)” คุณปุญญพัฒน์กล่าว
สำหรับแพลตฟอร์มบริการด้านสุขภาพจิตของเทเลเมดิก้า มีหลากหลาย ได้แก่ แอปพลิเคชั่นปรึกษาจิตแพทย์ออนไลน์ คลินิกจิตเวช คลินิกสุขภาพจิต เป็นลักษณะเข้าไปปรึกษาจิตแพทย์แบบส่วนตัวที่คลีนิก บริการรับยาที่บ้าน แบบทพสอบความเครียด บริการจิตวิทยาสำหรับองค์กร และเวิร์กชอปปัญหาสุขภาพสำหรับองค์กร
“เราเชื่อว่าการทำให้สุขภาพจิตของพนักงานในองค์กรดีขึ้น มีผลในต่อประสิทธิภาพการทำงาน มีผลต่อวัฒนธรรมองค์กร และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของทีม” คุณปุญญพัฒน์ย้ำถึงความหลากหลายของรูปแบบการให้บริการ
รูปแบบการให้บริการปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตของ ooca
เนื่องด้วย ooca เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการทั้งประชาชนทั่วไป และองค์กร เราจึงมีข้อสงสัยว่าทั้ง 2 กลุ่มเป้าหมาย มีบริการแตกต่างกันอย่างไร คุณปุญญพัฒน์อธิบายอย่างอารมณ์ดีว่า
“ooca เป็นแพลตฟอร์มสำเร็จรูป ไม่ว่าจะเป็น B2B หรือ B2C ก็ใช้แอปพลิเคชั่นเดียวกัน จิตแพทย์และนักจิตวิทยาก็กลุ่มเดียวกัน แต่มีข้อแตกต่างโดยสังเขปว่า หากเป็นบุคคลทั่วไปคิดค่าบริการเป็นรายครั้ง ส่วนลูกค้าองค์กรขยับเป็นบริการแบบเหมาจ่าย เช่น แพ็คเกจ 5,000 นาที จ่ายครั้งเดียว แล้วองค์กรนั้น ๆ ก็ไปจัดสรรให้พนักงานของตัวเองอีกทีว่า แต่ละคนมีสิทธิ์ใช้ได้คนละกี่ครั้ง ครั้งละกี่นาที เป็นต้น
สถานการณ์ และความท้าทายของการใช้งาน Mental Health Welfare for Employees ขององค์กรธุรกิจในไทย
ประเด็นสถานการณ์การใช้งานด้านที่ปรึกษาสุขภาพจิตขององค์กรธุรกิจในไทย คุณปุญญพัฒน์อธิบายว่า หากเทียบกับช่วงที่ให้บริการ ooca ในตอนแรกแล้ว พบว่าปัจจุบันองค์กรต่าง ๆ เข้าใจมากขึ้นว่า ooca คืออะไร และสุขภาพจิตที่ดีมีความสำคัญอย่างไร เวลาเข้าไปเสนอบริการไม่ต้องอธิบายความสำคัญของสุขภาพจิตมากเหมือนในอดีต
นอกจากการเดินทางของยุคสมัยจะช่วยทำให้ฝ่าย HR เข้าใจเรื่องปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้นแล้ว คนรุ่นใหม่อย่าง Gen Y เป็นต้นมา ก็ให้ความสนใจในประเด็นนี้มากเช่นกัน ด้วยเพราะมีอุปนิสัยกล้าพูดกล้าแสดงออก และปัญหาสุขภาพจิตมีโอกาสเกิดขึ้นง่ายกว่าในอดีต ดังนั้นพนักงานรุ่นใหม่จึงให้ความสำคัญกับองค์กรที่มีสวัสดิการด้านสุขภาพจิตด้วย นี่จึงเป็นสถานการณ์สำคัญหนึ่งของ Mental Health Welfare for Employees ในปัจจุบัน
“ล่าสุดมหกรรมที่เกี่ยวกับ HR tech ก็จะมีบริษัทที่เกี่ยวกับสุขภาพจิตเยอะขึ้น และบูธก็ใหญ่ขึ้นทุกปีครับ” คุณปุญญพัฒน์ยืนยัน
ทั้งนี้แม้สถานการณ์ Mental Health Welfare for Employees ในไทยดูจะเปิดกว้างขึ้น แต่ก็ยังมีอุปสรรคอยู่เหมือนกัน
อุปสรรคที่ว่า คือ Return on Investment หรือผลตอบแทนจากการลงทุน เพราะผู้บริหารส่วนมากต้องการเห็นความคุ้มค่า เช่น จัดคอร์สอบรมพัฒนาความรู้ความสามารถบางอย่าง ย่อมต้องการเห็นผลลัพธ์ที่วัดผลได้เกิดขึ้นมา แน่นอนว่า การอบรมพัฒนาความรู้ พนักงานย่อมได้ความรู้ใหม่ ๆ เข้ามาทำงาน แต่ในกรณีการจัดคลีนิกปรึกษาสุขภาพจิตออนไลน์ในองค์กร แม้ทำการสำรวจแล้วพบว่า พนักงานชอบ เขารู้สึกว่ามีประโยชน์ ได้ผ่อนคลาย ได้เข้าใจเพื่อนร่วมงาน แต่ในมุมของผู้ประกอบการแล้วเขาต้องการเห็นอะไรมากกว่านั้น
“เราใช้วิธีอธิบายด้วยการสร้างแดชบอร์ดขึ้นมาครับ ให้เห็นเลยว่า เมื่อพนักงานเข้ามาปรึกษาแล้ว มีพัฒนาการอย่างไร บททดสอบ pre test กับ post test เป็นอย่างไร เพื่อจะได้รู้ว่าเมื่อมาปรึกษาแล้วสุขภาพจิตดีขึ้นจริง ๆ ไหม” คุณปุญญพัฒน์อธิบายถึงวิธีรับมือความท้าทาย
อีกวิธีหนึ่งที่ คุณปุญญพัฒน์ใช้รับมือความท้าทายข้างต้น คือ แนะนำให้ฝ่าย HR ติดตามประเมินผลบุคลากรหลังจากที่ได้ปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตแล้วว่า ประสิทธิภาพการทำงานของบุคคลนั้นดีขึ้นอย่างไร โปรเจ็คที่ได้รับมอบหมายประสบความสำเร็จอย่างไรบ้าง เพราะสิ่งเหล่านี้คือ Return on Investment เนื่องจากเป็นประสิทธิผลที่เกิดขึ้นจากสุขภาพจิตที่ดีของทีมงาน
ประโยชน์ของ Mental Health Welfare for Employees
เมื่อได้ถามถึงสถานการณ์ และความท้าทายของ Mental Health Welfare for Employees แล้ว เราได้ขอให้ คุณปุญญพัฒน์อธิบายถึงประโยชน์ของมันต่อ ได้ความว่า ประโยชน์ที่เกิดขึ้นโดยตรงเลย คือ Performance หรือประสิทธิภาพของพนักงาน เนื่องจากปัญหาสุขภาพจิต ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพทั่วไปทางกาย และยังสามารถกระจายไปหาคนในทีมได้ด้วย
“ถ้าเราป่วยธรรมดา สามารถพักอยู่บ้านได้ อย่างมากก็แค่ขาดงาน แต่การที่คนในทีมมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต แม้ไม่หนักถึงขั้นเป็นโรคจิต อาจจะแค่เครียด หรือน้อยใจ หรือความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานไม่ดี เขาไม่สามารถลางานเพื่อไปรักษา แล้วกลับมาทำงานต่อเหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดานะครับ แต่ปัญหาที่มาจากสุขภาพจิตจะเกิดเอฟเฟคกับคนในทีมด้วย ซึ่งจะเกิดคำที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ว่า ‘บรรยากาศดูอึมครึมจัง’ แน่นอนว่าเมื่อบรรยากาศการทำงานมัวหม่นประสิทธิภาพของการทำงานก็จะด้อยตามมา” คุณปุญญพัฒน์ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
คำว่าสุขภาพจิตที่ดีในนิยามของคุณปุญญพัฒน์ไม่ได้หมายความว่าพนักงานทุกคนต้องไม่เครียด ไม่เสียใจเลย เพราะอย่างไรเสีย มนุษย์ทุกคนย่อมมีอารมณ์สุข เศร้า เสียใจ ดีใจด้วยกันทั้งสิ้น แต่สุขภาพจิตที่ดีในที่นี้ คือ สามารถจัดการอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้นั่นเอง
เมื่อพูดถึงความสามารถในการจัดการอารมณ์ความรู้สึก Head of Technology บริษัท เทเลเมดิก้า ก็หยิบวิธีการของคน 2 Gen มาเปรียบเทียบต่อ
โดยบอกว่า หากเป็นคนรุ่นเก่า (Gen X) เมื่อรู้สึกเครียดก็จะพยายามจัดการความเครียดของตัวเอง เนื่องจากรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง บริษัทจ้างงานมาแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด ดังนั้นต้องทำงาน ส่วนความเครียดเป็นเรื่องส่วนตัว
สำหรับคนรุ่นใหม่ (Gen Y เป็นต้นมา) จากการสำรวจพบว่า เขามองว่าการจัดการความเครียดเป็นสวัสดิการที่บริษัทต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่ให้วันลาแล้วจบ หรือให้เงินไปรักษาแล้วจบ แต่อยากให้องค์กรช่วยรักษาอาการ หรือช่วยฮีลใจให้สถานการณ์คลี่คลายได้ดี
“อีกอย่าง คนรุ่นใหม่ไม่มีความกลัวที่จะบอกใคร ๆ ว่า ช่วงนี้จิตตกอยู่นะ ยังไม่ค่อยอยากทำงาน เพราะสุขภาพจิตใจไม่ค่อยดี เขาจะไม่เก็บตัวแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานเหมือนคนรุ่นก่อน หรือเกรงใจว่าเพื่อนคนอื่น ๆ จะคิดว่าขี้เกียจ”
ได้ฟังคุณปุญญพัฒน์ในหลากหลายมิติก็เห็นถึงประโยชน์ของ Mental Health Welfare for Employees อย่างหลากหลายในทันที
ตัวอย่างการแก้ปัญหาภายในองค์กรด้วย HR Tech solution ด้านสุขภาพจิต
อ่านประโยชน์ของ Mental Health Welfare for Employees ไปแล้ว เรามาดูกรณีตัวอย่างที่สามารถแก้ปัญหาด้วยการปรึกษาจิตแพทย์กันต่อเลย
– สุขภาพจิตกับ Turnover rate
ความเครียด และปัญหาสุขภาพจิตอาจส่งผลต่อ Turnover rate หรือการลาออกเป็นจำนวนมากได้เช่นกัน สาเหตุการลาออกหากมาจากเหตุผลค่าตอบแทน หรือความก้าวหน้า ย่อมถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากลาออกเพราะทำงานกับเพื่อนร่วมงานไม่ได้ ไม่พึงพอใจวัฒนธรรมองค์กร อย่างนี้ถือว่าเป็นปัญหา
วิธีแก้ปัญหา Turnover rate คือ ให้จิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาชวนพนักงานที่จะลาออกพูดคุยตามหลักจิตวิทยา เพื่อหาสาเหตุ แล้วฝากการบ้าน หรือข้อคิดให้กลับไปทบทวน
“หลังจากใช้บริการ พนักงานหลายคนตัดสินใจอยู่ต่อ โดยทางเราสังเกตจากการอัพเดทรายชื่อพนักงานเพื่อจ่ายค่าบริการ ก็จะพบว่า Turnover rate ไม่เพิ่มสูงขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องยืนยันว่า เราเองไม่มีถึงขั้นเข้าไปถามฝ่าย HR โดยตรง” คุณปุญญพัฒน์อธิบาย พร้อมเพิ่มเติมว่า การปรึกษาจิตแพทย์ไม่สามารถหยุดยั้งปัญหา Turnover rate ได้ 100% แต่มีโอกาสแก้ไขได้ตามตัวอย่างที่ยกมาข้างต้น
“สุดท้ายแล้ว ต่อให้พนักงานคนนั้นลาออก แต่จะเป็นการลาออกที่ซอฟต์ลง เช่น สมมติว่าเขาไม่โอเคกับบริษัทมาก ๆ รู้สึกโกรธ และไม่พอใจมาก อาจจะเปลี่ยนเป็นโอเค! เข้าใจในมุมของอีกฝ่ายแล้ว ตัดสินใจมาดีแล้ว ใจเย็นแล้ว ทบทวนได้ดีแล้ว Feedback ที่จะเกิดขึ้นกับองค์กรในภายหลังก็จะนุ่มนวลลง เป็นบวกมากขึ้น ต่างจากช่วงแรกที่ตัดสินใจด้วยอารมณ์โกรธ ซึ่งส่งแต่ Feedback ด้านลบออกมา”
– วิธีแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างบุคคล 2 คน
หลายครั้งปัญหาสุขภาพจิต เกิดจากความขัดแย้งกันระหว่างพนักงาน 2 คน จนกลายเป็นสภาวะบรรยากาศอึมครึมของทั้งแผนก หากเกิดกรณีอย่างนี้ ผู้ให้บริการ ooca แนะนำว่า ควรชวนให้เข้าปรึกษาจิตแพทย์พร้อมกันทั้งคู่ เพื่อจะได้เข้าใจกันและกัน แต่ส่วนมากคนหนึ่งปรึกษาอีกคนไม่ยอมปรึกษา ข้อดีของการปรึกษาพร้อมกัน คือ เข้าใจว่า ‘เรามาลองทำแบบนี้กันเถอะ จะได้ไม่มีปัญหากัน มันจะดีมากเลยนะ’ ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถบังคับให้ใครเข้ามาปรึกษาได้ ต้องอยู่ที่ความสมัครใจ ทั้งนี้หากไม่สามารถเข้าปรึกษาพร้อมกันได้ แนะนำให้ปรึกษาคนละจิตแพทย์ก็ยังดี เพราะแต่ละคนจะได้แนวทางการแก้ปัญหา
รู้เขารู้เรา แล้วก็มาคุยกัน คืนดีกันได้ บรรยากาศในที่ทำงานก็จะดีขึ้น
Mental Health สำหรับหัวหน้า
เมื่อพูดถึงการจัดการปัญหาสุขภาพจิตในองค์กร Head of Technology บริษัท เทเลเมดิก้า ให้ความเห็นว่า มองเฉพาะพนักงานอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองไปยังหัวหน้างาน หรือผู้บริหารด้วย เพราะหลายครั้งเมื่อลูกน้องมีปัญหาแล้วเลือกเข้าไปปรึกษาหัวหน้า หากปรึกษาเรื่องอาชีพการงานย่อมเป็นสิ่งปกติ แต่ถ้าปรึกษาเรื่องอารมณ์ ความเครียด ย่อมไม่เหมาะ เพราะแต่ละคนมีวิธีการแก้ปัญหาที่ต่างกัน บางเรื่องแนะนำแล้วอาจจะถูกทาง บางอย่างแนะนำไปแล้วอาจพาหลงทิศ ซึ่งต่างจากจิตแพทย์ที่เขาเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นหัวหน้างานจึงควรมีการอบรมเพิ่มความรู้ความเข้าใจเรื่องสุขภาพจิตเบื้องต้น เพื่อเป็นผู้รับฟังที่ดี แล้วก็พยายามแนะนำให้ทีมงานที่ประสบปัญหาไปพบผู้เชี่ยวชาญต่อ
ออกกำลังจิตใจ
ทุกคนเห็นตรงกันว่า หากต้องการให้ร่างกายแข็งแรง ควรออกกำลังกาย สำหรับสุขภาพจิตที่ดี คุณปุญญพัฒน์ย้ำว่า ก็ต้องออกกำลังจิตใจเช่นกัน
“คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าต้องป่วยก่อน ต้องมีปัญหาก่อน แล้วค่อยเข้าไปคุยกับจิตแพทย์ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว ไปคุยเฉย ๆ ก็ได้ เพื่อเป็นการตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราไม่ได้เป็นอะไร เพราะคุณหมอเขามีเทคนิคในการถามว่าช่วงนี้รู้สึกอย่างไร? มีเรื่องอะไรไหม? บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าสบายดี ปกติดีนั้น มันจริงหรือเปล่า? การไปพบจิตแพทย์ ไม่ใช่ว่าไปเพื่อพยายามหาปัญหา แต่ไปเพื่อเช็คว่าจิตใจแข็งแรงจริง ๆ หรือเปล่า”
“ปัญหาสุขภาพจิตควรมีการ Follow up คล้าย ๆ ปัญหาสุขภาพทางกาย เช่น จัดแพ็คเกจให้มาเจอจิตแพทย์ 3 ครั้ง อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 3 เดือนต่อเนื่องกัน ถ้าไม่มีอาการอะไรไม่ต้องมาแล้วก็ได้ คล้าย ๆ กับเวลาเรามีปัญหาร่างกาย หมอจะให้ Follow up จำนวน 2 – 3 ครั้งเช่นกัน ถ้าโอเคดีแล้ว ก็หยุดจ่ายยา ไม่ต้องนัดอีก”
และนี่คือการออกกำลังจิตใจ โดยการหมั่นตรวจสอบกับจิตแพทย์ เนื่องจากบางคนอาจบอกว่า ฉันจัดการความเครียดเองได้ 2 – 3 วันเดี๋ยวก็หาย หรือสัก 1 สัปปดาห์ก็หาย แต่ในความเป็นจริงต้องหายภายใน 1 วัน หรือเร็วกว่านั้นหรือเปล่า? สิ่งเหล่านี้เราไม่อาจตัดสินใจได้ หากยังไม่ได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ธุรกิจที่ควรใช้งาน Mental Health Welfare for Employees
สวัสดิการสุขภาพจิตเหมาะกับทุกประเภทธุรกิจ เพราะทุกหน้าที่การงานย่อมมีโอกาสเกิดความเครียดขึ้นเสมอ สำหรับ ooca เองก็ให้บริการตั้งแต่ SME พนักงานหลักสิบคน ไปจนกระทั่งองค์กรขนาดใหญ่ เพราะแพ็คเกจค่าบริการมีให้เลือกใช้หลากหลาย ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า แต่หากให้ลิสต์ธุรกิจที่มีความเครียดสูงได้แก่ลักษณะใดบ้าง เราได้คำตอบว่า
1. บริษัทที่ทำหน้าที่ตรวจสอบบัญชี เพราะจะมีงานหนักเข้ามาเป็นช่วง ๆ เช่น ช่วงปิดงบประมาณ เป็นต้น บริษัทลักษณะนี้เมื่องานเข้าก็หนักมาก หากงานเบาก็เบา เกิดการสวิงของอารมณ์ที่ค่อนข้างแตกต่างสูง จึงเกิดความเครียดได้ง่าย
2. บริษัทที่ทำงานลักษณะโปรเจ็ค, เอเจนซี่ หรืองานที่ต้อง Implement ระบบต่าง ๆ เพราะมีกำหนดส่งงาน ต้องเสร็จตามกำหนด ความเครียด ความกดดันจึงสูง รวมทั้งยังพักผ่อนน้อยอีกด้วย
3. บริษัทที่เป็นศูนย์รวมคนเก่ง มองเผิน ๆ การมีแต่คนเก่งอยู่ในทีมย่อมเป็นสิ่งดี ซึ่งหากทุกคนถ้อยทีถ้อยอาศัยเข้าอกเข้าใจกันย่อมเป็นผลดี แต่ข้อเสียของการรวมทีมคนเก่ง คือ การแข่งขันสูง ทุกคนต่างต้องการโดดเด่น และมีการประเมินงานด้วยมาตรฐานที่สูง จึงทำให้เกิดความเครียดสะสมได้ง่าย
หลังจากยกตัวอย่างลักษณะองค์กรที่อาจทำให้เกิดความเครียดสูงแล้ว เรามีข้อสงสัยเพิ่มเติมว่า งานลักษณะ Call Center ที่ต้องตอบคำถามผู้คนหลากหลายมุมมอง ความเครียดงานลักษณะนี้มีอะไรบ้าง คุณปุญญพัฒน์ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “Call Center เป็นลักษณะงานบริการลูกค้า จึงค่อนข้างรับมือกับการถูกบ่น และถูกปฏิเสธได้เหนือกว่าแผนกอื่น ๆ สามารถปล่อยวางได้ง่ายกว่า ส่วนมากเขาจะเข้ามาปรึกษาในเรื่องที่ Extreme หรือสุดโต่งมากจริง ๆ เท่านั้นครับ”
เป้าหมายในอนาคตของ บริษัท เทเลเมดิก้า จำกัด
สำหรับเป้าหมายในอนาคตของ เทเลเมดิก้า จำกัด ประกอบด้วย
1. พัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป รวมทั้งพัฒนาเรื่องของการ Workshop โดยเน้นอบรมระดับหัวหน้า หรือผู้จัดการให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องสุขภาพจิต เพราะปัญหาสุขภาพจิตต้องประสานต่อเนื่องกันทุกฝ่าย และทุกระดับชั้นงาน
2. พัฒนา AI ให้เป็น assistant หรือผู้ช่วยจิตแพทย์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เนื่องจากสุขภาพจิตเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับจิตใจมนุษย์จึงยังไม่นำ AI เข้ามาให้คำแนะนำแทนแพทย์ แต่ความสามารถของมันให้เป็นผู้ช่วยเบื้องต้นได้ดี เช่น ใช้ในการวิเคราะห์เบื้องต้นว่าบุคคลนั้น ๆ มีโอกาสเกิดปัญหาสุขภาพจิตในระดับใด แล้วส่งข้อมูลต่อให้หมอ เป็นต้น รวมไปถึงให้ AI ช่วยวิเคราะห์ปัญหาเบื้องต้น เพื่อให้ผู้ใช้บริการลองไปปรับใช้ เช่น ให้ AI ดูเทรนด์ความเสี่ยง อย่างอาการของคนที่มีความสุขแบบสวิง สุขมาก ทุกข์ก็มาก แบบนี้คือมีโอกาสเกิดปัญหาสุขภาพจิตสูง ช่วยให้ผู้รับการประเมินตัดสินใจพบจิตแพทย์ได้รวดเร็ว
“สำหรับ AI กับงานสุขภาพจิต ต้องมีงานวิจัยรับรองตัวมันอีกทีหนึ่ง เพื่อให้เชื่อถือได้ เพราะเราไม่อยากทำให้เป็น chatbot เล่น ๆ ที่สุดท้ายแล้วเกิดผลเสียกับลูกค้า เหมือนกรณีที่เกิดเหตุน่าเศร้าในต่างประเทศที่คนคนหนึ่งคุยไปคุยมากับ chatbot แล้วตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะรู้สึกว่า chatbot ไม่รัก ประมาณนี้ครับ” คุณปุญญพัฒน์กล่าวถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นได้
จากบทสนทนาทั้งหมด เห็นได้ว่า HR Tech มีหลายลักษณะ ไม่จำกัดอยู่เพียงเทคโนโลยีที่ใช้อำนวยความสะดวกสบายของฝ่าย HR เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงสุขภาพจิตของพนักงานด้วย เพราะงาน HR คือการบริหารทรัพยากรมนุษย์นั่นเอง ท้ายนี้คุณปุญญพัฒน์ฝากถึงผู้อ่านว่า
“การทำให้เกิด Aware เรื่องสุขภาพจิต ผมอยากให้ลองคุยกับคนที่เคยเจอปัญหานี้ เพราะหากใครประสบด้วยตัวเองจะเข้าใจชัดมากว่า ในวันที่จิตใจแข็งแรงดี เราก็ปกตินี่แหละ แต่ถ้าวันใดมีเรื่องทำให้จิตตก จิตใจเราจะอ่อนแอลงมากแค่ไหน ผมอาจตอบได้ไม่ชัดเท่าคนที่เคยผ่านมาแล้ว แต่ค่อนข้างมั่นใจมากว่า ถ้าองค์กรไหนที่พนักงานมีแนวโน้มเกิดปัญหาสุขภาพจิต แล้วได้มาลองใช้ ooca จะเห็นถึงผลลัพธ์ที่ดี ผลลัพธ์ที่ว่าอาจไม่เหมือนตอนเราหกล้มแล้วเกิดแผล ใส่ยารักษา แผลหายเห็นชัดเจนอย่างนั้น แต่คุณจะรับรู้ได้แน่นอนว่า บรรยากาศในที่ทำงานเปลี่ยนไปในทางที่ดี”
ช่องทางติดต่อ ooca
Tel.: 02-114-7721-2
E-mail: support@ooca.co
Facebook: https://www.facebook.com/oocaok
Line: ooca