Manufacturing DX

KAIZEN

AI Technology

Customer Success

Innovation

Digital

Smart Factory

Software for Business

Others

03.12.2025

【B-EN-G DAY (TH) 2025】เสริมพลังแห่งอนาคตด้วยเทคโนโลยี ใช้งาน AI อย่างไร เพื่อพลิกโฉมอนาคตการทำงาน วิสัยทัศน์ล้ำหน้าจากงาน B-EN-G (TH) DAY 2025

ธีมของงานในครั้งนี้ คือ “Empowering the Future with Technology” ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การแนะนำเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการสำรวจว่า AI จะเข้ามา “กำหนดรูปแบบใหม่” ให้วิธีการทำงาน กระบวนการตัดสินใจ และการสร้างคุณค่าในธุรกิจได้อย่างไร ในยุคที่วิวัฒนาการของ AI ได้นำมาซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ต่อการบริหารจัดการองค์กร คำถามสำคัญ คือ เราจะใช้เทคโนโลยีเป็น “พลังขับเคลื่อนเพื่อกำหนดอนาคต” ได้อย่างไร

ในส่วนของ “Public Session” ของงานนี้ เราได้นำมุมมองดังกล่าวมาพิจารณาและเจาะลึกถึงจุดตัดระหว่างเทคโนโลยีกับธุรกิจอย่างรอบด้าน ผ่านการนำเสนอ 4 หัวข้อ ตั้งแต่โอกาสใหม่ของการปรับรูปแบบการทำงาน การสร้างคุณค่าจากข้อมูล ERP ผ่าน AI กรณีศึกษาเชิงปฏิบัติในกระบวนการหลักขององค์กร ไปจนถึงมุมมองต่อก้าวต่อไปของ mcframe เมื่อผสานเข้ากับ AI ซึ่งแต่ละเซสชันได้สะท้อนแนวทางสู่ “การนำอนาคตมาปรับใช้จริง” จากหลากหลายมุมมอง

บทความนี้จะสรุปภาพรวมของงานและประเด็นสำคัญของแต่ละเซสชัน พร้อมรวบรวมข้อคิดที่ผู้เข้าร่วมได้รับและความเข้มข้นของการอภิปราย
หวังว่ารายงานฉบับนี้จะช่วยเป็นแนวทางและแรงบันดาลใจในการก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงองค์กรด้วย AI อย่างเป็นรูปธรรม

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา มีงานสัมมนาสำคัญด้านเทคโนโลยี B-EN-G (TH) DAY 2025 กับหัวข้อ Empowering the Future with Technology เสริมพลังแห่งอนาคตด้วยเทคโนโลยี จัดโดย บริษัท Toyo Business Engineering (Thailand) Co., Ltd. (B-EN-G) ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ mcframe โซลูชันชั้นนำของโลก จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งตลอดทั้งวันอัดแน่นด้วยวิสัยทัศน์ แนะนำทิศทางความยั่งยืนในอนาคตด้วยเทคโนโลยีจากผู้เชี่ยวชาญขององค์กรระดับประเทศ เรียกได้ว่าหยิบเพียงส่วนหนึ่งส่วนใดไปประยุกต์ใช้กับองค์กรก็จะได้เปรียบคู่แข่งอย่างยิ่ง ทั้งนี้แม้กิจกรรมจบไปแล้ว แต่องค์ความรู้นั้นยังสำคัญเสมอ และนี่จึงเป็นที่มาของบทความนี้ บทความที่สรุปหัวข้อต่าง ๆ ในวงเสวนา และการบรรยาย B-EN-G (TH) DAY 2025 ซึ่งบทความนี้ว่าด้วยการบรรยายในหัวข้อแรก ชื่อว่า Reimagining the Future of Work with AI and Automation พลิกโฉมอนาคตการทำงานด้วยพลังของ AI และระบบอัตโนมัติองค์กร พร้อมหรือยังกับยุคของระบบอัจฉริยะ

โดย Mr. Masakazu Haneda President & CEO Business Engineering Corporation. ประธานการจัดงานกล่าวก่อนเข้าสู่การบรรยายหัวข้อ Reimagining the Future of Work with AI and Automation ว่า บริษัท Business Engineering Corporation เริ่มต้นจาก แผนกสารสนเทศของบริษัทวิศวกรรม ก่อนจะเติบโตเป็นผู้นำด้านโซลูชันสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตในญี่ปุ่น และเป็น พันธมิตรรายแรกของ SAP ญี่ปุ่น ต่อมาในปี 1999 บริษัทได้พัฒนาโซลูชัน และเปิดตัวซอฟต์แวร์ mcframe ซึ่งเป็นระบบบริหารการผลิตและต้นทุนที่พัฒนาด้วยตนเอง โดย เขา เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งและผู้พัฒนา mcframe ปัจจุบันบริษัทมีสาขาทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศทั่วโลก มีพนักงานกว่า 800 คน และมีรายได้ต่อปีประมาณ 4,500 ล้านบาท

สำหรับประเทศไทย Toyo Business Engineering (Thailand) Co., Ltd. ได้นำ mcframe เข้ามาจำหน่ายในปี ค.ศ. 2007 และจะครบรอบ 20 ปี ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
เรียกได้ว่าคลุกคลีกับวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้ง และนี่เองที่เขาเห็นว่า การนำ AI ระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยในองค์กร จะยกระดับ และพลิกโฉมอนาคตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน อย่างหัวข้อบรรยายต่อไปนี้

พลิกโฉมอนาคตการทำงาน ด้วยพลังของ AI และระบบอัตโนมัติองค์กร พร้อมหรือยังกับยุคของระบบอัจฉริยะ
คุณอุดม ลิ่วลมไพศาล Director, Industrial IoT and Automation Research Group, The National Electronics and Computer Technology Center (NECTEC, NSTDA) ซึ่งเป็นผู้อำนวยการกลุ่มวิจัย IoT และระบบอัตโนมัติสำหรับการอุตสาหกรรม บรรยายในหัวข้อนี้อย่างน่าสนใจว่า

ปัจจุบันทุกองค์กรล้วนเกี่ยวข้องกับ AI และระบบ Automation อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดพนักงานก็ใช้ Chat GPT มาช่วยสรุปงาน วิเคราะห์งานเบื้องต้น และหากมองออกไปนอกองค์กรจะพบว่า บริษัทที่นำ AI และ Automation เข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นนำหุ่นยนต์เพิ่มขึ้นมา หรือใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล ฯลฯ จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด

คุณอุดม ย้ำว่าในอนาคตอันใกล้ อย่างไร AI ก็มีบทบาทสำคัญแน่นอน และอ้างอิงข้อมูลจากเวที World Economic Forum ว่า เมื่อ AI เข้ามามีบทบาทแล้ว 66% หรือ 2 ใน 3 ของอาชีพ ณ ปัจจุบัน จะหายไป ฟังแล้วอาจน่ากลัว และระแวงปัญญาประดิษฐ์ แต่คุณอุดมกลับชี้ให้เห็นว่า ถึงอาชีพเดิมจะหายไปเกินครึ่ง แต่จะเกิดอาชีพใหม่ขึ้นมาถึง 70% ดังนั้นหากไม่ทำความเข้าใจ AI ตั้งแต่ตอนนี้ก็อาจตกขบวนได้ เพราะ AI ไม่ใช่เทคโนโลยีที่เข้ามาแย่งงาน แต่จะมาส่งเสริมให้องค์กรที่รู้จักใช้ ก้าวกระโดดอย่างยั่งยืนนั่นเอง

คุณอุดม ยกตัวอย่างว่า อดีตหากใครทำงานเป็นนายธนาคาร หรือ banker จะได้รับการยกย่องและนับถืออย่างยิ่ง ปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้น แต่จำนวนนายธนาคารลดน้อยลง บทบาทก็ลดตาม เพราะระบบ Automation เข้ามาทำหน้าที่แทนได้หมด หากสังเกตจะพบว่าสาขาธนาคารลดน้อยลง เพราะทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชั่นได้

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ อาชีพอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) อดีตใครจะคิดว่า แค่นั่งพูดออนไลน์จะสร้างรายได้ได้มหาศาล แต่หากมองไกลไปในอนาคตข้างหน้า อินฟลูเอนเซอร์ อาจจะสูญหายไปก็ได้ เพราะ AI สามารถทำแทนได้

ดังนั้นสิ่งน่ากังวล จึงไม่ใช่ AI จะเข้ามาแย่งงาน แต่อยู่ที่การปรับตัวให้ทันเทคโนโลยีต่างหาก

การปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยี ได้แก่ นำ AI มาอ่านเอกสารจำนวนมากเพื่อลดงานซ้ำซ้อน กล่าว คือ ให้ AI ทำงานที่ซับซ้อน และวิเคราะห์ข้อมูล ส่วนมนุษย์เน้นไปทางความคิดสร้างสรรค์ หากนำข้อเด่นของปัญญาประดิษฐ์ กับปัญญามนุษย์มาทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้อง ก็จะทำให้องค์กรพัฒนาไปได้อย่างยั่งยืน

จะ Reimagine the Future of Work อย่างไร?
คุณอุดม แนะนำวิธี Reimagine the Future of Work ว่า
1.ประเมินความพร้อมขององค์กร
2.พัฒนาบุคลากรให้มีความเข้าใจด้าน AI
3.นำระบบ Enterprise Resource Planning (ERP), Supply Chain Management (SCM) หรือ IoT มาปรับใช้ให้เห็นผลจริง

3 อย่างนี้จะเริ่มได้อย่างไร ด้วยคุณอุดม รับผิดชอบในศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน Sustainable Manufacturing Center (SMC) เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) และตรวจประเมินระดับความพร้อมของโรงงานสู่ Thailand i4.0 จึงแนะนำว่า หากองค์กรใดยังกำหนดแผนทำงานร่วมกับ AI ไม่ถูก สามารถเข้ามาปรึกษากับองค์กรของเขาได้ เนื่องจากให้บริการด้านต่าง ๆ ดังนี้

1.ประเมินบุคลากรให้พร้อมเข้าสู่ระบบ Automation
2.อบรมบุคลากรเพื่อให้เชี่ยวชาญ
3.ให้คำปรึกษาเพื่อก้าวเข้าสู่ อุตสาหกรรม 4.0 และ 5.0 ในอนาคต
4.บริการ Test Base องค์กรต่าง ๆ สามารถนำโปรเจคต์ที่คิดค้นไปทดสอบที่ห้องแล็บก่อนนำไปพัฒนาจริงได้ เพื่อให้ทราบว่าโปรเจคต์ใช้งานจริงได้หรือไม่ ต้องแก้ไขส่วนไหนบ้าง เป็นต้น
5.บริการ Implement โซลูชันด้าน Automation เพื่อนำไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 ในราคาย่อมเยา

ในบริการทั้ง 5 สิ่งสำคัญ คือ การประเมินองค์กรและบุคลากร เพราะเมื่อทราบศักยภาพตัวเองแล้ว สามารถนำจุดอ่อนไปแก้ไข และนำจุดแข็งไปพัฒนาได้อย่างตรงจุด คุณอุดมยกคำขึ้นมาว่า

“ถ้าคุณไม่สามารถวัดได้ คุณก็ไม่รู้หรอกว่าต้องปรับปรุงตัวเองอย่างไร”

พร้อมยกตัวอย่างว่า หากไม่ไปตรวจสุขภาพ ย่อมไม่รู้ว่า ตัวเองเป็นความดันหรือไม่ เป็นเบาหวานหรือเปล่า เมื่อไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรบ้าง ก็จะใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ในทางธุรกิจคืออาจก้าวไม่ทันคู่แข่ง ในทางกลับกันหากรู้แล้ว ไม่มีการแก้ไข หรือพัฒนา ย่อมไม่ถูกต้อง เช่น รู้ว่าตัวเองเป็นเบาหวานแต่ก็ยังรับประทานอาหารรสมัน หวาน เหมือนเดิม ก็ไม่สามารถสู้ใครในตลาดได้เช่นกัน

นอกจากนี้ยังยกตัวอย่างว่า บางครั้งซื้อเครื่องจักรมาแล้วคุณสมบัติบอกว่า สามารถผลิตชิ้นงานได้ 10 ชิ้น ต่อนาที ผ่านไป 3 ปี กลับกลายเป็นว่า เหลือ 5 ชิ้นต่อนาที แล้วใน 5 ชิ้นนี้ เสียไปอีก 2 ชิ้น เท่ากับว่าประสิทธิภาพของเครื่องจักรถดถอย จึงต้องหมั่นตรวจสอบ และปรับปรุง ซึ่งระบบอัตโนมัติ อย่าง OEE (Overall Equipment Effectiveness) ดัชนีวัดประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของเครื่องจักรในโรงงาน สามารถช่วยได้ เพราะมันจะคอยเตือนประสิทธิภาพเครื่องจักรชนิดเรียลไทม์ เมื่อพบจุดบกพร่องจะแจ้งให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบแก้ไขเพื่อไม่ให้เสียโอกาสได้ทันที

ท้ายนี้คุณอุดมกล่าวว่า ปัจจุบันมีโครงการสนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรมให้พัฒนาเข้าสู่ 4.0 คือการนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนธุรกิจ จากภาครัฐหลายโครงการ ได้แก่ งบสนับสนุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน (SMC) เป็นต้น เพียงแค่พร้อมและต้องการพัฒนาองค์กรด้วยเทคโนโลยีตามหลักเกณฑ์เท่านั้น

ดังนั้นหากต้องการพัฒนาองค์กรไปสู่ 4.0 แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร สามารถเข้าไปปรึกษาศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืนได้ทันที เพราะนอกจากจะพบช่องทางการยกระดับธุรกิจให้ยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีแล้ว ยังมีโอกาสได้รับเงินสนับสนุนอีกด้วย เรียกได้ว่า แค่คิดจะพลิกโฉมอนาคตการทำงาน ด้วยพลังของ AI และระบบอัตโนมัติก็มีสิ่งดี ๆ พุ่งเข้าหาแล้ว

…………………………………………………………………………………………………….

Related Articles

RECOMMEND