Manufacturing DX

KAIZEN

AI Technology

Customer Success

Innovation

Digital

Smart Factory

Software for Business

Others

03.12.2025

【B-EN-G DAY (TH) 2025】วิธีนำระบบอัตโนมัติมาลดต้นทุน และสร้างมูลค่าอย่างมีประสิทธิภาพให้การผลิต

Mr. Masakazu Haneda President & CEO Business Engineering Co., Ltd. กล่าวถึงสาเหตุที่พัฒนาซอฟต์แวร์ mcframe ขึ้นมา เพราะจากประสบการณ์ที่เริ่มต้นจาก แผนกสารสนเทศของบริษัทวิศวกรรม ก่อนจะเติบโตเป็นผู้นำด้านโซลูชันสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตในญี่ปุ่น และเป็น พันธมิตรรายแรกของ SAP ญี่ปุ่น พบว่าโซลูชัน ตลอดจนเทคโนโลยีต่าง ๆ เอื้อประโยชน์ต่อองค์กร และขับเคลื่อนให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องการสร้างสรรค์โปรแกรมที่ดี และเหมาะกับทุกธุรกิจ

ด้วยคุณภาพ และการใส่ใจ ทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว สามารถขยายตลาดได้ถึง 36 ประเทศทั่วโลก จำนวนลูกค้ามากถึง 1,700 บริษัท อยู่ในทวีปเอเชีย 246 บริษัท สำหรับประเทศไทย Toyo Business Engineering (Thailand) Co., Ltd. ได้นำ mcframe เข้ามาจำหน่ายในปี ค.ศ. 2007 และจะครบรอบ 20 ปี ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ทั้งนี้แม้ครอบครองตลาดอย่างกว้างขวาง แต่ Mr. Masakazu Haneda ยืนยันว่าจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชั่นที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการของทุกองค์กรอย่างไม่หยุดยั้ง

จากแนวคิดของผู้บริหาร mcframe ส่งต่อมายังหัวข้อบรรยายในงานสัมนา B-EN-G (TH) DAY 2025 กับหัวข้อ Cut Costs, Boost Efficiency with Automation Let AI Handle Repetitive Tasks Real Use Cases in Core Processes ลดต้นทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ด้วยระบบอัตโนมัติ เปลี่ยนงานซ้ำซ้อนให้ AI จัดการ พร้อมตัวอย่างในกระบวนการหลัก โดย คุณปิยฉัตร ขัติวงษ์ (คุณวิว) หัวหน้าที่ปรึกษาส่วนงาน Profitability Manufacturing บริษัท JMAC Thailand ซึ่งจะทำให้ทราบว่า ต่อให้เทคโนโลยีดีเพียงไร หากยังไม่เข้าใจปัญหาของตัวเอง หรือยังไม่เห็นจุดรั่วไหลขององค์กร ก็ยากที่จะนำโซลูชันมายกระดับธุรกิจ

บริษัท JMAC Thailand อยู่ในเครือบริษัทที่ปรึกษาสมาคมการบริหารจัดการประเทศญี่ปุ่น (JMA) ให้บริการในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก มากกว่า 60 ประเทศ ครอบคลุมงานด้านกลยุทธ์, การตลาดและการขาย, R&D, การผลิต, ซัพพลายเชน, องค์กร/บุคลากร และ BPR เข้ามาให้บริการในประเทศไทยเมื่อ ค.ศ. 2008 แม้โครงการที่ดำเนินทั้งในประเทศญี่ปุ่นและประเทศต่าง ๆ กว่า 1,500 โครงการต่อปีของ JMAC เป็นภาคอุตสาหกรรมถึง 70% แต่วิธีลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในการบรรยายนี้ สามารถใช้ได้กับทุกประเภทธุรกิจ แม้กระทั่งงานสำนักงาน

วิธีลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ
คุณวิวเริ่มต้นด้วยการชวนมองให้เห็นภาพว่า การสร้างกำไรเป็นเช่นไร โดยเปรียบเทียบเหมือนการคั้นน้ำส้มขาย ดังนี้
ผลส้ม = Input
น้ำส้ม = Output
ดังนั้น หากต้องการกำไรที่มากขึ้น ก็ต้องทำให้ได้ Output ในปริมาณมาก หรือถ้าเพิ่มน้ำส้มไม่ได้ ก็ต้องไปหาวิธีลดต้นทุนของ Input ลง เช่น ลดทรัพยากรแต่ยังคงได้น้ำส้มเท่าเดิม

วิธีการเพิ่ม Output กับลดต้นทุน ทำได้โดยการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วย ซึ่งจะช่วยอย่างไรนั้น คุณวิวอธิบายว่า “ให้สังเกตการเคลื่อนไหวของคนและเครื่องจักรว่า การเคลื่อนไหวนั้นก่อให้เกิด Output หรือ สร้างมูลค่าหรือไม่” กล่าวคือ เคลื่อนไหวแล้วได้งานหรือเปล่า?

ลักษณะของการเคลื่อนไหวเฉย ๆ กับเคลื่อนไหวแล้วได้งาน มีดังนี้
เคลื่อนไหวเฉย ๆ ได้แก่ การเดินไปหยิบ และเดินหาวัตถุดิบ, การเตรียมอุปกรณ์, การชั่ง การตวงวัตถุดิบ เป็นต้น
เคลื่อนไหวแล้วได้งาน ได้แก่ การนำงานเข้าเครื่องจักร, การประกอบชิ้นส่วน, การผสมวัตถุดิบ, การบรรจุงานลงบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น

รูปธรรมของการเคลื่อนไหวดังกล่าว คุณวิวได้ยกตัวอย่างสายพานการผลิตขนมเค้กขึ้นมาประกอบ โดยบอกว่าใน Line การผลิตขนมเค้ก ส่วนที่สร้างรายได้ คือ ผลผลิตที่เป็นเค้กสมบูรณ์พร้อมจำหน่ายแล้ว ดังนั้น สถานีแต่งหน้าเค้ก และ สถานีบรรจุกล่อง จึงถือเป็นส่วนที่สร้างมูลค่า เพราะผลลัพธ์สามารถนำไปขายได้แน่นอน ในทางกลับกัน ส่วนที่ไม่สร้างมูลค่า ได้แก่ ขั้นตอนการลำเลียงเค้ก และการตรวจด้วย Metal Detector ซึ่งเพียงป้องกันโลหะปนเปื้อนเท่านั้น

ทั้งนี้ส่วนของ Inspection หรือการตรวจสอบ มีเยอะก็ดี เพราะลูกค้าถูกใจ แต่เนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องจักร ต้องซื้อเข้ามาใช้ ย่อมเป็นต้นทุนทั้งเริ่มซื้อ และซ่อมบำรุง หรือหากไม่ใช้เครื่องจักรก็ต้องจ้างพนักงานเข้ามา ส่งผลให้เสียเวลาในการผลิตเพิ่มขึ้น
จากตัวอย่างคุณวิวจึงชวนให้มองว่า ขั้นตอนต่าง ๆ ตั้งแต่การลำเลียง การเตรียมวัตถุดิบ การตรวจสอบ เหล่านี้หากจัดการไม่ดีย่อมเกิดต้นทุน และเสียเวลาโดยใช่เหตุ แต่ถ้านำเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้ามาใช้ จะลดการเคลื่อนไหวที่ไม่เกิดมูลค่าเหล่านี้ได้มาก เท่ากับว่าต้นทุนลดตามไปด้วย เมื่อต้นทุนลดตามย่อมหมายถึงมีกำไรเพิ่ม

ยกตัวอย่างการลดต้นทุนในสายการผลิตแล้ว คุณวิวอธิบายในสายสำนักงานต่อ โดยบอกว่า การเพิ่ม Output ในงานที่เกี่ยวกับเอกสาร เช่น ฝ่ายบัญชีก็มีลักษณะเดียวกัน หัวใจสำคัญของฝ่ายบัญชี คือ การทำงบการเงิน ต้องรวบรวมเอกสารต่าง ๆ จากทุกแผนกมากรอกลงระบบจัดทำเป็นรายงาน การนั่งกรอกข้อมูลดิบจากกระดาษลงระบบทีละแผ่น ถือว่า เป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่สร้างมูลค่า ดังนั้นจึงสามารถนำระบบ Automation มาช่วยกรอกข้อมูลเหล่านี้ได้

นี่คือหลักการสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพของงานที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกลักษณะงาน
เมื่อแนะนำหลักการแล้ว คุณวิวจึงอธิบายวิธีหา และแก้ไขการเคลื่อนไหวที่ไม่เกิดมูลค่า โดยให้มองลักษณะงานตามประเภทดังนี้

การแยกประเภทงาน ตามหลัก “การสร้างมูลค่า”
คุณวิวได้แยกประเภทงาน ตามหลัก “การสร้างมูลค่า” ออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1.งานพื้นฐาน (Basic Function; BF) ได้แก่ การนำวัตถุดิบเข้าเครื่องจักร, การประกอบชิ้นส่วน, การเชื่อมชิ้นส่วน ฯลฯ
2.งานเสริม (Auxiliary Function; AF) ส่วนนี้เป็นงานที่สนับสนุนงานพื้นฐานให้เสร็จสมบูรณ์ เช่น การตั้งค่าเครื่องจักร, การสุ่มวัดขนาดชิ้นงาน, การบันทึกค่าการผลิต, การขนย้าย ฯลฯ
3.งานอื่น ๆ (Others หรือ Waste) คือ งานจิปาถะทั่วไป ที่ไม่เกี่ยวกับการผลิต บางครั้งเป็นงานที่เกิดความสูญเปล่าด้วยซ้ำ เช่น การขนย้ายสินค้าหรือวัตถุดิบ, การรอคำสั่งผลิต, การรอวัตถุดิบ, การแก้ไขงาน, การประชุม ฯลฯ

เมื่อทราบประเภทของงานแล้ว ต่อมาให้มาดูว่าส่วนไหนที่ก่อให้เกิดต้นทุนโดยใช่เหตุ ซึ่งคุณวิวได้อธิบายดังต่อไปนี้

การหางานที่ไม่สร้างมูลค่า เพื่อการแก้ไข
คุณวิวได้ยกตัวอย่างในโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตขึ้นมาประกอบ โดยอธิบายให้เห็นภาพรวมว่า ขั้นตอนการผลิตสินค้าหลัก ๆ ประกอบด้วย การเตรียม Part หรือวัตถุดิบ, การประกอบ, การตรวจคุณภาพ, การบรรจุ และการขนส่ง เป็นต้น
ปัญหาที่ทาง JMAC เจอเป็นประจำเมื่อเข้าไปให้คำปรึกษาในโรงงานอุตสาหกรรม คือ พนักงานเตรียม Part ไม่ทัน เมื่อเตรียมวัตถุดิบไม่ทัน กระบวนการผลิตก็ต้องหยุดชะงัก รอให้พนักงานไปจัดเตรียมหรือหยิบชิ้นส่วนที่ขาดมาเพิ่ม ส่งผลให้เกิดทั้งการรอคอย การทำงานซ้ำ และต้นทุนที่ไม่จำเป็น

สาเหตุที่พนักงานเตรียม Part ไม่ทัน ได้แก่
– ชั้นวางของแต่ละชนิดอยู่ไกลกัน
– ไม่มีการวางแผนในการหยิบชิ้นส่วนอย่างเป็นระบบ เพราะส่วนมากพนักงานจะหยิบชิ้นส่วนตามรายการที่เรียงในใบเบิกตามลำดับ 1, 2, 3 – ไปเรื่อย ๆ จนครบ ซึ่งแต่ละรายการวางอยู่บนชั้นที่ห่างกัน จึงต้องเดินวนไปมา ทำให้เสียเวลา
– Check เครื่องจักรทุกครั้งเมื่อเริ่มงาน
– บันทึกเอกสารลงกระดาษซ้ำซ้อน เป็นต้น

คุณวิวยังเสริมอีกว่า บางโรงงานเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีพนักงาน 2,000 คน ต้องเตรียมทีม Service เช่น วิ่งหยิบชิ้นส่วนที่ขาด หรือตรวจเช็คอุปกรณ์ เป็นต้น อีกประมาณ 200 คน หรือ 10%

สิ่งเหล่านี้ คือ งานที่ไม่สร้างมูลค่า และยังทำให้เพิ่มต้นทุนอีกด้วย ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ เช่น ให้ AI วางแผนการเดินหยิบชิ้นส่วนว่า ควรต้องหยิบลำดับที่เท่าไรก่อน เพื่อลดการเดินวนไปมา เมื่อหยิบแล้วก็สแกนเข้าระบบ เพื่อป้องกันการหลงลืม, ใช้ AI ให้วิเคราะห์ศักยภาพเครื่องจักรล่วงหน้าว่าประสิทธิภาพอยู่ที่เท่าไร และใช้ AI ในการช่วยบันทึกข้อมูล

เมื่อนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ถูกจุดแล้ว จะช่วยลดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพในการทำงานได้อย่างมหาศาล
นอกจากประโยชน์ในขั้นตอนการผลิตสินค้าแล้ว ระบบอัตโนมัติสามารถลดเวลาในการคำนวณ ปริมาณชิ้นส่วนที่ต้องใช้อีกด้วย เช่น หากต้องการใช้ชิ้นส่วน A จำนวน 1,500 ชิ้น แต่ชิ้นส่วนดังกล่าวมีขนาดเล็กและถูกบรรจุรวมในถุงละ 200 ชิ้น หากไม่มีระบบอัตโนมัติ พนักงานจะต้องคำนวณเองว่า ต้องหยิบทั้งหมดกี่ถุง ซึ่งผลลัพธ์คือ ต้องหยิบ 7 ถุง และอีกครึ่งถุง แต่หากใช้ระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วย ระบบจะคำนวณให้ตั้งแต่เริ่มต้น ว่าจำเป็นต้องหยิบจำนวนเท่าใดโดยอัตโนมัติ ทำให้พนักงานสามารถดำเนินงานได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

แม้ตัวอย่างนี้อาจดูเป็นเพียงรายละเอียดเล็กน้อย แต่ในระดับโรงงานอุตสาหกรรม เวลาที่ประหยัดได้จากการคำนวณเล็กน้อยเหล่านี้ สามารถสะสมกลายเป็นผลลัพธ์ที่สำคัญ เพิ่มประสิทธิภาพและปริมาณการผลิต (Output) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ระบบ Automation ควรสัมพันธ์กัน
แม้ระบบอัตโนมัติจะช่วยแก้ไขปัญหาการเกิดงานที่ไม่สร้างมูลค่าได้ แต่คุณวิวเตือนว่า เมื่อนำมา Implement แล้วระบบต่าง ๆ ต้องสัมพันธ์กัน สื่อสารกันได้ เพราะไม่อย่างนั้นพนักงานก็ต้องนำวิธี Manual มาใช้ เช่น กรอกข้อมูลเอง, วางแผนเอง ฯลฯ เพื่อให้ระบบต่าง ๆ เชื่อมถึงกันได้ ซึ่งผลเสียที่ตามมา คือ เพิ่มต้นทุน เสียเวลา และเกิดความผิดพลาดได้สูง

ท้ายนี้คุณวิวได้ฝากหลักคิดเรื่องการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในการผลิตไว้ 3 ประการ ดังนี้
1.ทบทวนให้ชัดเจน ขั้นตอนใดที่สามารถสร้างมูลค่าได้ก็ขอให้ทำต่อ แต่ส่วนไหนไม่สร้างมูลค่า ขอให้หาวิธีระบบอัตโนมัติที่เหมาะสมมาทำแทน
2.ระบบที่นำมาใช้ต้องสัมพันธ์กันทุกแผนก
3.ความเคยชินอาจทำให้ไม่เห็นจุดอ่อน ดังนั้นจงนำ “มูลค่า” เป็นตัวชี้วัดว่า ความเคยชินนั้น เป็นเรื่องปกติหรือไม่ หากเป็นเรื่องปกติ ควรเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น

………………………………………………………………………………………………………………

Related Articles

RECOMMEND