AI Technology

MedTech

08.12.2025

AI ตอบปริศนาที่มนุษย์คิดไม่ออก 10 ปีใน 2 วัน: จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติการวิจัย

ในโลกที่เทคโนโลยีก้าวหน้าเร็วกว่าที่มนุษย์จะคาดเดาได้ วันนี้ปัญญาประดิษฐ์ไม่เพียงแค่เข้ามามีบทบาทในงานประจำหรือในภาคธุรกิจ แต่เริ่มกลายเป็น “ผู้ช่วยนักวิทยาศาสตร์” ที่สามารถทำสิ่งที่เคยต้องใช้เวลาหลายปีให้เสร็จภายในเวลาไม่กี่วันเท่านั้น เรื่องราวล่าสุดที่เกิดขึ้นในวงการวิทยาศาสตร์จุลชีววิทยา ได้สะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของการทำวิจัยแบบดั้งเดิม เมื่อ AI สามารถตอบคำถามเชิงลึกที่นักจุลชีววิทยาใช้เวลาค้นหาและพิสูจน์ยาวนานกว่า 10 ปีได้ ภายในระยะเวลาเพียง 48 ชั่วโมง

ศาสตราจารย์ โฮเซ่ อาร์ เปนาเดส (José R. Penadés) นักวิจัยชั้นนำด้านจุลชีววิทยาจาก Imperial College London และทีมของเขาใช้เวลานานกว่าทศวรรษในการตามหาคำตอบว่าทำไมแบคทีเรียดื้อยาบางชนิดจึงไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะตามที่ควรจะเป็น แม้ว่าพวกเขาเริ่มมีคำอธิบายที่เป็นรูปเป็นร่างและอยู่ระหว่างการพิสูจน์เชิงวิทยาศาสตร์ แต่การค้นหาคำอธิบายเชิงกลไกที่เฉพาะเจาะจงนั้นเป็นงานที่ซับซ้อน ต้องอาศัยทั้งเวลา การทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการวิเคราะห์ข้อมูลที่สั่งสมกันมายาวนาน

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ศาสตราจารย์เปนาเดสได้ลองถามคำถามสำคัญนี้กับเครื่องมือ AI ของ Google ที่ชื่อว่า “co-scientist” ซึ่งพัฒนาเพื่อช่วยนักวิจัยในการตั้งสมมติฐาน ประมวลผลข้อมูล และวางแผนการทดลองโดยเฉพาะ เขาตั้งใจเพียงต้องการทดสอบขอบเขตความสามารถของ AI แต่ผลลัพธ์กลับทำให้เขาตกใจจนคิดว่าอาจมีการเข้าถึงข้อมูลลับในคอมพิวเตอร์ของเขา

เพราะภายในเวลาเพียง 2 วัน “co-scientist” ได้ให้คำตอบที่เหมือนกับผลวิจัยที่ทีมของเขาใช้เวลาถึงสิบกว่าปีในการค้นพบ ทั้งที่งานวิจัยดังกล่าวยังไม่เคยเผยแพร่ที่ใด ไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูลออนไลน์ใด ๆ และไม่อาจเข้าถึงได้จากแหล่งข้อมูลสาธารณะ เมื่อศาสตราจารย์เปนาเดสเขียนอีเมลไปยังทีมของ Google เพื่อถามตรง ๆ ว่า AI ของพวกเขาแอบเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวหรือเซิร์ฟเวอร์ของทีมวิจัยหรือไม่ Google ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไม่มีการเข้าถึงข้อมูลใด ๆ ทั้งสิ้น และระบบไม่สามารถดูข้อมูลที่ไม่เปิดเผยได้ นั่นหมายความว่า AI “คิดขึ้นเอง” จากแบบจำลองทางชีววิทยาที่มันเรียนรู้มาอย่างมหาศาล และเกิดเป็นสมมติฐานที่สอดคล้องกับความจริงโดยไม่ต้องอาศัยข้อมูลลับจากภายนอก

เหตุการณ์นี้สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิจัยทั้งทีมจนถึงขั้นต้องทบทวนมุมมองต่อการทำงานร่วมกับ AI ในอนาคต หลายคนยอมรับว่า หากมีเครื่องมือแบบนี้ตั้งแต่วันแรกของการเริ่มต้นโครงการ ปัญหาที่ยาวนานหลายปีอาจถูกย่นให้เหลือเพียงจำนวนเดือน หรืออาจแค่ไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ถึงแม้ว่างานวิจัยเชิงทดลองยังคงต้องพึ่งพามือมนุษย์ในการพิสูจน์ ตรวจสอบ และทำซ้ำเพื่อยืนยันผล แต่ความสามารถของ AI ในการสังเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล ตั้งสมมติฐาน และชี้แนวทางความเป็นไปได้อย่างแม่นยำ จะเปลี่ยนโลกการวิจัยไปตลอดกาล

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เพียงเรื่อง “ความเร็ว” ในการให้คำตอบ แต่เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าโมเดล AI สมัยใหม่เริ่มเข้าใกล้ความสามารถระดับ “นักวิทยาศาสตร์ร่วม” หรือ co-scientist อย่างแท้จริง จากบทบาทเดิมที่เป็นเพียงเครื่องมือค้นข้อมูลหรือช่วยวิเคราะห์พื้นฐาน AI รุ่นใหม่นั้นสามารถคาดการณ์กลไกทางชีวภาพที่ซับซ้อนได้ หรือตีความความสัมพันธ์ระดับโมเลกุลซึ่งต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์จึงจะเข้าใจ นี่คือสัญญาณว่าการทำงานวิจัยในอนาคตอาจกลายเป็นความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ และระบบ AI ที่ช่วยเปิดทางสู่สมมติฐานใหม่ ๆ ที่มนุษย์อาจมองข้ามหรือคิดไม่ถึงมาก่อน

นักจุลชีววิทยาหลายคนที่ติดตามเรื่องนี้เห็นพ้องว่า หากวงการวิทยาศาสตร์สามารถใช้ AI ช่วยกำหนดทิศทางของการตั้งสมมติฐานตั้งแต่เริ่มต้น แต่ละโครงการวิจัยจะมีความคืบหน้าเร็วขึ้นแบบก้าวกระโดด สิ่งที่เคยต้องทุ่มเทเวลาเป็นปี ๆ อาจถูกย่นให้เหลือไม่กี่วัน โลกอาจเห็นการค้นพบใหม่ทางยา การวินิจฉัยโรค การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ หรือแม้แต่การแก้ปริศนาทางชีววิทยาที่ค้างคามานานได้รวดเร็วกว่าที่คาดการณ์กันมาก

เหตุการณ์ระหว่างทีมของศาสตราจารย์เปนาเดสและเครื่องมือ AI ของ Google จึงไม่ใช่เพียงข่าวน่าสนใจในวงการวิทยาศาสตร์ แต่คือจุดเปลี่ยนของยุคสมัยที่แสดงให้เห็นว่า AI กำลังก้าวข้ามบทบาท “เครื่องมือ” ไปสู่การเป็น “คู่คิดวิทยาศาสตร์” อย่างเต็มตัว ซึ่งอาจพลิกการทำวิจัยทั่วโลก และทำให้มนุษยชาติเดินหน้าไปสู่การค้นพบใหม่ที่เร็วและไกลกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ผู้เขียน: ก้องปพัฒน์ กำจรจรุงวิทย์

RECOMMEND